วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ชาญี่ปุ่น หรือชาอังกฤษใครมีประโยชน์กว่ากัน



เป็นที่สงสัยใคร่รู้กันนักหนา ว่าระหว่างชาญี่ปุ่นกับชาอังกฤษอะไรให้ประโยชน์กว่ากัน วันนี้เราจะพาคุณไขข้อข้องใจให้รู้กันไปเลย





ชาญี่ปุ่น

เริ่มที่ชาญี่ปุ่น แหล่งเพาะปลูกชาที่สำคัญของญี่ปุ่นอยู่ทางตอนใต้ของ Honshu และเกาะเล็กๆ ที่ชื่อ Shikoku และ Kyushu ชาที่ถือว่าเป็นชาที่ดีที่สุดจากญี่ปุ่น คือ Gyokoru ซึ่งจะถูกนำมาใช้เฉพาะเทศกาลสำคัญเท่านั้น และแน่นอนที่สุดว่า ชาเขียว คือชาที่คนญี่ปุ่นนิยมและมีผลิตผลมากที่สุดเป็นที่รู้กันดีว่าชาเขียวมีคุณสมบัติในการรักษาโรคมะเร็งได้ เพราะในชาเขียวมีสาร Catechin Polyphenol ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านพิษ ช่วยฆ่าเซลล์มะเร็ง ยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อส่วนดี นอกจากนั้นยังช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันการจับตัวของลิ่มเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการหัวใจวาย และลมชัก

ปัจจุบันแม้ชาวญี่ปุ่นรุ่นใหม่จะหันมาสนใจเครื่องดื่มใหม่ๆ แต่ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ก็ยังคงดื่มน้ำชา ชาที่ชาวญี่ปุ่นนิยมดื่มทั้งในชีวิตประจำวันและในพิธีชงชา คือชาเขียว สำหรับชาวญี่ปุ่น "ชา" เป็นเครื่องดื่มที่เต็มไปด้วยพิธีรีตอง ตั้งแต่การชงชา สถานที่ อุปกรณ์ พิเศษถึงขนาดมีห้องสำหรับดื่มชาโดยเฉพาะ ซึ่งแน่นอนห้องดื่มชาจะต้องจัดให้อยู่ในสวนสวย พิธีชงชาของญี่ปุ่นจะเริ่มตั้งแต่เดินเข้าไปในสวน ระหว่างเดินต้องมีสติ พอเดินผ่านสวนก็จะถึงสถานที่ชงชา ซึ่งมีความเคร่งครัดมาก ขนมที่ต้องใช้ในพิธีก็ต้องเฉพาะเจาะจง วิธีดื่มชา การบิดแก้วอย่างไรในการส่งชาไปให้คนอื่น ถ้าเป็นพิธีแบบดั้งเดิม ชาวญี่ปุ่นจะใช้แก้วใบเดียวกันแล้วส่งต่อๆ ไป ซึ่งก็ต้องมีวิธีหมุนให้ปากไม่ตรงกัน พิธีชงชานี้เป็นการฝึกตัวเองแบบหนึ่ง เป็นธรรมเนียมที่สะท้อนถึงสุนทรียศาสตร์อันเรียบง่ายและงดงามของญี่ปุ่นได้ดีที่สุด

ชาอังกฤษ


การดื่มชาของอังกฤษได้ชื่อว่าเป็นศิลปะชั้นสูง นับแต่วิธีการชงชา ไปจนถึงการปั้นถ้วยชา รวมทั้งวัฒนธรรมในการพักดื่มชาของคนอังกฤษที่เรียกว่า "ที-เบรก" ซึ่งจะจัดให้มีขึ้นเป็นประจำทุกวัน สำหรับคนอังกฤษ ชาจึงเป็นเครื่องดื่มที่อยู่คู่กับความงดงาม คนอังกฤษนิยมดื่มชากันแทบทุกคน โดยเริ่มตั้งแต่ตอนบ่าย เพราะคนอังกฤษจะรับประทานมื้อกลางวันเร็ว กว่าจะถึงมื้อค่ำก็ราวสามทุ่ม ในช่วงบ่ายจึงต้องดื่มชาพร้อมกับรับประทานของว่าง "ชา" จึงเป็นเครื่องดื่มที่สามารถดื่มได้ทั้งวัน ชาอังกฤษนั้นไม่ได้มีดีแค่รสชาติกลมกล่อมและกลิ่นหอมชวนหลงใหล ในชาอังกฤษยังมี สาร Theaflavins และ Thearubigins ที่ไม่มีในชาเขียว ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคพาร์คินสันได้มากถึง 75 % นอกจากนี้สาร Flavonoids และ Catechin ที่มีมากในชาอังกฤษยังช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้สดใส เร่งกระบวนการเผาผลาญของร่างกาย บำรุงหัวใจ และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ในใบชายังมีสาร Catechin ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสาร Polyphenol ที่มากด้วยคุณค่าวิตามินซี ซึ่งมีส่วนช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ สาร Polyphenol ยังช่วยกระจายความร้อนในร่างกายออกไปพร้อมกับขับสารพิษออกไปด้วย และยังช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น มีผลต่อระบบเมตาโบลิซึ่มของร่างกายอีกด้วย

นอกจากนี้ชาอังกฤษยังมีประโยชน์มอีกมากมาย ด้วยรสชาติที่เข้มข้นเพราะมีคาเฟอีนในปริมาณพอเหมาะ จะช่วยให้ออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ขยายหลอดเลือด ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ป้องกันโรคหัวใจตีบตัน บรรเทาอาการเจ็บหน้าอก รักษาหวัดและอาการปวดหัว ยิ่งกว่านั้นยังช่วยย่อยสลายไขมัน ลดโคเลสเตอรอล กระตุ้นการทำงานของสมอง ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าสดชื่น ชาอังกฤษยอดนิยมได้แก่ อิงลิชเบรคฟัสท์ เป็นส่วนผสมระหว่างชาซีลอน และรสส้ม ให้รสชาติเข้มข้น เหมาะกับเวลาตื่นนอน เพื่อสร้างความกระปรี้กระเปร่า สดในยามเช้า ส่วนอีกชนิดที่นิยมไม่แพ้กันคือ เอิร์ลเกรย์ เป็นส่วนผสมระหว่างชาดาร์จิลิง และชาอบด้วยกลิ่นผิวเบอร์กามอท รสชาติเบาๆ เหมาะสำหรับเวลาบ่าย ในประเทศแถบตะวันตก การดื่มชาเป็นการบ่งบอกสถานภาพ โดยเฉพาะในอังกฤษ วิธีดื่มชาจะบอกได้ว่า คนๆนั้นเป็นชนชั้นสูงหรือชนชั้นล่าง ยกตัวอย่างเช่น ถ้ารินนมเย็นลงไปในแก้วชาก่อน แล้วตามด้วยน้ำชา ก็จะหมายถึงชนชั้นล่าง แต่ถ้ารินน้ำชาร้อนๆ ลงไปก่อนแล้วตามด้วยนม ก็จะหมายถึงชนชั้นสูง ซึ่งมาจากในสมัยก่อนที่คนจนจะไม่มีเงินซื้อเครื่องปั้นดินเผาคุณภาพดี ทำให้ใส่ของร้อนไม่ได้ แต่ถ้าเป็นคนรวย ก็จะใช้พอร์ซเลนซึ่งคุณภาพสูงกว่าและราคาแพง ชาอังกฤษนั้นมีประโยชน์มหาศาลเกินกว่าที่คาดคิด...ช่วงพักเบรกนี้ดื่ม English Tea สักหน่อยมั้ยคะ


มารู้จักชาประเภทต่างๆ กัน



ชา


เป็นเครื่องดื่มที่คนทั่วโลกนิยมบริโภคไม่น้อยไปกว่า กาแฟ และโกโก้ ชาถือกำเนิดมาจากพืชตระกูล Camelliea มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Camelliea sinensis ลักษณะเป็นไม้พุ่ม ใบแหลมสีเขียว ดอกสีขาว มีกลิ่นหอม ส่วนที่นำมาเป็นเครื่องดื่มจะอยู่บนสุด เป็นตำแหน่งของการผลิใบอ่อน และการแตกหน่อ ซึ่งเป็นส่วนที่มีคุณภาพดีที่สุด แต่ถึงจะมาจากพืชตระกูลเดียวกัน ก็ยังมีหลากหลายแบ่งได้ 4 ประเภท แตกต่างไปตามกรรมวิธีการหมักบ่ม หรือการผลิต ได้แก่


ชาขาว


คือชาที่ได้จากการเลือกเก็บยอดชาที่อ่อนมาก คือยังมีขนเล็ก ๆ สีขาวปกคลุมยอดชาอยู่ ใบชาจะคงสภาพเหมือนใบชาสดและมีสีขาว น้ำที่ชงจากชาขาวจะมีสีใสๆถึงสีเหลืองอ่อน มีลักษณะใกล้เคียงกับชาเขียว ในแต่ละปีจะเก็บเกี่ยวยอดชาเพื่อนำมาผลิตชาขาวได้ในบางวันเท่านั้น


ชาเขียว


คือชาที่ไม่ผ่านกระบวนการหมัก ในระยะเวลาสั้น การผลิตชาเขียว ทำโดยนำใบชาที่เก็บมาได้ มาผ่านไอน้ำหรือความร้อน เพื่อยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ทันที จากนั้นนำไปกลิ้งด้วยลูกกลิ้งและทำให้แห้งอย่างรวดเร็ว ใบชาที่ได้จึงยังคงมีสีเขียว ในชาเขียวจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันรอยเหี่ยวย่น สีผิวด่างดำ และแห้งกร้าน


ชาอูหลง


คือชาที่ผ่านกระบวนการผลิตด้วยการหมักแต่เพียง 10-80 เปอร์เซ็นต์ คือระยะเวลาการหมักนานกว่าชาเขียว ชาประเภทนี้จะมีสีและกลิ่นมากกว่าชาเขียวขึ้นมาหน่อย รสชาติเข้มข้นและมีกลิ่นหอม เมื่อดื่มจะให้รสฝาด และขมเล็กน้อย ชุ่มคอ



ชาอังกฤษ


เป็นชาที่ติดอันดับท๊อปฮิตติดชาร์ทยอดนิยม ผู้คนนิยมดื่มกันทั่วโลก โดยเฉพาะแถบยุโรป คนไทยบางคนเรียกว่าชาฝรั่ง การผลิตจะนิยมใช้ชาพันธุ์ดีมีสารโพลีพินอลสูง ดีต่อสุขภาพ โดยเริ่มจากการนำใบชาไปหมักด้วยระยะเวลานานก่อให้เกิดการหมักอย่างเต็มที่ ซึ่งจะทำให้สีและรสชาติที่เข้มข้นมาก น้ำชาเป็นสีส้มหรือน้ำตาลแดง นอกจากรสชาติที่เข้มข้น และกลิ่นหอมชื่นใจแล้ว ชาอังกฤษยังช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจ ขับไล่ความเหนื่อยอ่อน สร้างความสดชื่น ป้องกันมะเร็ง ที่สำคัญช่วยชะลอความแก่ และป้องกันการเกิดสารอนุมูลอิสระ ช่วยหยุดยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและไวรัส เนื่องจากมีสารสารแทนนินสูง จึงช่วยป้องกันฟันผุบรรเทาอาการท้องเสีย ดั้งนั้นการต้มหรือแช่ชาอังกฤษนานๆ จะทำให้ได้สารแทนนินและ แร่ธาตุอื่นๆ เช่น ฟลูออไรด์ วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 มากขึ้นด้วย


สรุปง่ายๆได้ว่า ใบชาที่เก็บมาจากยอดชาจะเรียกว่าชาขาว เมื่อผ่านการหมักในระยะเวลาสั้นๆจะเรียกว่าชาเขียว หากหมักระยะเวลานานขึ้นมาหน่อยจะมีสีเข้มขึ้นเรียกว่าชาอูหลง ส่วนชาที่มีความเข้มข้นที่สุดเพราะผ่านการหมักบ่มอย่างยาวนานก็คือชาอังกฤษ นั่นเองรู้จักที่มาที่ไปของชาแต่ละประเภทแล้ว ชอบใจแบบไหนก็เลือกดื่มตามใจ



วิธีชงชาที่ถูกต้อง


1. ใส่น้ำสะอาดปราศจากคลอรีน และน้ำเดือดไม่น้อยกว่า 100 องศาเซลเซียส ไม่ควรใช้น้ำแร่ชงชา

2. ใส่ชาจำนวน 1 ใน 3 ของภาชนะ

3. ภาชนะที่ชงชาที่ดี คือ อันดับ 1 เซรามิค อันดับ 2 แก้ว อันดับ 3 ดินเผาอย่างดี

4. น้ำแรกของใบชาไม่ควรดื่ม (เห็นเค้าทิ้งเลยค่ะ ตอนเค้าชงชาให้ทาน ยังนึกเสียดาย….)

5. ควรดื่ม ครั้งที่ 2 แช่น้ำไว้ 1 นาที ครั้งที่ 3-4 ใส่น้ำแช่ 40 วินาที ครั้งที่ 5-6 ใส่น้ำแช่ 20 วินาที แต่คุณประโยชน์ของชามีอยู่เพียง 5 น้ำเท่านั้น

6. ไม่ดื่มชาแช่ ชาค้างคืน ชาที่ร้อนจัด และชาที่เข้มเพราะจะทำให้ท้องผูก

7. หากชาเหลือ ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วเทใส่ขวดเก็บเข้าตู้เย็น ไว้ดื่มได้ แต่ไม่ควรเกิน 5 วัน


วิธีเก็บรักษาชา


1. ห้ามใช้มือหยิบใบชา และควรเก็บใบชาไว้ในถุงเพื่อรักษาคุณภาพของชา

2. ห้ามใช้ภาชนะพลาสติกใส่ใบชา ควรใช้กระปุกสุญญากาศ

3. ใบชาที่ไม่แกะซองเก็บรักษาไว้ได้ 2 - 3 ปี หากแกะซองแล้วให้ดื่มภายใน 2-3 เดือน


แถมเกร็ดความรู้อีกนิดหน่อย


1. ชาที่ดีจะมีรสขมเล็กน้อย จากนั้นจะชุ่มคอเมื่อดื่ม

2. ชาที่ดีจะช่วยดับกลิ่นปากและช่วยลดเสมหะในคอได้

3. ช่วยล้างสิ่งที่เป็นพิษในร่างกายที่มากับอาหาร

4. ไม่ควรดื่มชาในขณะท้องว่าง หรือดื่มกับยาทุกชนิดเพราะจะทำให้ยาเสื่อมคุณภาพได้


อกสารอ้างอิง http://www.junjaowka.com, share.psu.ac.th/blog/soda/8202 - 58k